วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

การติดต่อสื่อสาร

การติดต่อสื่อสาร

การสื่อสาร เกิดจากการที่มนุษย์อยู่ตามลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งพาผู้อื่น จึงต้องสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดของตนเอง ว่า                      ต้องการอะไร การสื่อความหมายในอดีต มีดังนี้
            1.    ใช้อาณัติสัญญาณต่างๆ เสียงกลอง ควันไฟ สัญญาณมือ
            2.    การวาดเขียนภาพบนผนังถ้ำ ภาพพิธีกรรม การล่าสัตว์
             3.    การประดิษฐ์คิดค้นตัวอักษร ตัวอักษรมนุษย์ถ้ำ ตัวอักษรโรมัน ตัวอักษรพ่อขุนรามคำแหง


            4.    ภาษาที่ใช้ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น ไทย 
พัฒนาการสื่อสาร
            1.    การสื่อสารด้วยรหัส
            2.   การสื่อสารด้วยสายตัวนำ
            3.    การสื่อสารโดยใช้คอมพิวเตอร์
            4.    การสื่อสารโดยใช้ดาวเทียม
            5.    การสื่อสารโดยระบบไร้สาย
อุปกรณ์สื่อความหมายแทนคำพูดในปัจจุบัน
            1.    จดหมาย, โทรเลข, รหัสมอส, การใช้อักษรเบรลของคนตาบอด
            2.    โทรศัพท์
            3.    การส่งข้อความโดยโทรศัพท์เคลื่อนที่, อีเมล
            การสื่อสาร (Communication) มาจากคำว่า “Communis” ในภาษาลาติน แปลว่า ความเหมือนหรือการร่วมกัน
            การสื่อสาร (Communication) คือ กระบวนการของข่าวสาร (Message) ซึ่งเริ่มจากผู้ส่งสาร (Sender) ใช้ข่าวสาร (Massage) ส่งผ่านช่องทาง (Channel) ไปยังผู้รับสาร (Receiver)
            การสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 แบบ
            1.    อวัจนภาษา   คือ ภาษาที่ไม่ใช่คำพูด สัญลักษณ์ อากัปกริยา
            2.    วัจนภาษา     คือ ภาษาที่ใช้คำพูด ภาษาพูด ภาษาเขียน
            การสื่อสารกับช่องทางที่ใช้
            ช่องทางที่ใช้ ได้แก่ ตา (การเห็น) หู (ได้ยิน) จมูก (ได้กลิ่น) มือ (สัมผัส) ปาก, ลิ้น (การลิ้มรส)
 องค์ประกอบในการติดต่อสื่อสาร
            1.    แหล่งข้อมูลข่าวสารหรือผู้ส่งสาร (Source, Sender) หมายถึง สิ่งที่ก่อกำเนิดข่าวสารหรือ
ผู้เป็นต้นเหตุของข่าวสาร อาจเป็นบุคคลเดียวหรือหลายคนก็ได้
            2.    ข่าวสาร (Message) หมายถึง เนื้อหาสาระหรือเครื่องหมายที่ผู้ส่งดำเนินการถ่ายทอดไปยังผู้รับสาร
            3.    ช่องทางของข่าวสาร (Channel) หมายถึง สื่อกลางในการนำข่าวสารไปยังผู้รับสาร เช่น หนังสือ ภาพยนต์ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์
            4.    ผู้รับข่าวสาร (Receiver) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มคน หรือสิ่งของที่ทำหน้าที่รับรู้ข่าวสาร
ที่ส่งมาจากผู้ส่งข่าวสาร
         รูปแบบการติดต่อสื่อสารของ Berlo แบ่งส่วนประกอบสำคัญออกเป็น 4 ส่วน คือ ผู้ส่งสารหรือแหล่งข่าว ข่าวสาร ช่องทางของการสื่อสาร และผู้รับสาร
            ถ้าการสื่อสารมีจุดมุ่งหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม สัมฤทธิผลของการสื่อสารก็อยู่ที่ความสามารถเปลี่ยนแปลงผู้รับสารได้ในแนวทางที่ผู้ส่งต้องการ สัมฤทธิผลนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เริ่มจากการรวบรวมความคิด แล้วถอดความคิดออกมาเป็นเนื้อหาข่าวสาร ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถของผู้รับในการตีความเนื้อหาสาระในสาร เงื่อนไขหรือข้อกำหนดในการเลือกรับสารของผู้รับและเลือกส่งสารของแหล่งสาร นอกจากนี้
ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของสื่อ
(Media) และช่องทางข่าวสาร (Channel) อีกด้วย
            Scharamn (1974) ได้อธิบายกระบวนการติดต่อสื่อสารไว้ว่า เมื่อผู้ส่งสารมีข่าวสารจะส่งไปยังผู้รับสาร ผู้ส่งสารจะต้องดำเนินการเข้ารหัส เมื่อสัญญาณผ่านช่องทางสื่อสารไปถึงผู้รับสารแล้ว ผู้รับสารต้องทำการถอดรหัสสัญญาณที่ได้รับในรูปแบบใดๆ เป็นข่าวสารตามที่ได้ส่งข่าวมา
                        ในการที่จะทำให้กระบวนการติดต่อสื่อสารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ Scharamn ได้ระบุถึง
กรอบแห่งการอ้างอิง
(Frame of Reference) และพื้นฐานประสบการณ์ (Field of Experience) ทั้งของผู้ส่งสารและผู้รับสารไว้ด้วยว่ามีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จของการติดต่อสื่อสาร

            พื้นฐานประสบการณ์ (Field of Experience) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลได้ประสบมาตั้งแต่เกิดจนถึงขณะที่ทำการติดต่อสื่อสาร หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นภูมิหลังของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีพื้นฐานประสบการณ์แตกต่างกัน อย่างไรก็ดีหากจะให้มีการติดต่อสื่อสารสมบูรณ์ อธิบายโดยใช้พื้นฐานประสบการณ์ สรุปได้ว่า ข่าวสารนั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นฐานประสบการณ์ทั้งของผู้รับและผู้ส่งหลังจากติดต่อสื่อสารกันแล้ว กล่าวคือ ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร
เกิดความเข้าใจในข่าวสารนั้นตรงกันทุกประการ ส่วนการติดต่อสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์ ก็หมายถึง
การที่ข่าวสารที่ผู้ส่งสารไม่ได้กลายเป็นพื้นฐานประสบการณ์ของผู้รับสารทั้งหมด อาจมีบางส่วนของข่าวสารเท่านั้นที่เป็นพื้นฐานประสบการณ์ของผู้รับสาร ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากอุปสรรคหลายประการ
วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร
            1.    เพื่อแจ้งให้ผู้รับสารทราบและเกิดความเข้าใจ
            2.    เพื่อสอนหรือให้การศึกษาและเกิดความเข้าใจมากกว่าเดิม
            3.    เพื่อสร้างความบันเทิงและความเข้าใจ
            4.    เพื่อนำเสนอและชักจูงให้มีความสนใจปฏิบัติตาม
วัตถุประสงค์ของผู้รับสาร
            1.    เพื่อรับทราบ
            2.    เพื่อเรียนรู้
            3.    เพื่อความบันเทิง
 4. เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ 
อุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร
            คือ ตัวการที่คอยรบกวนการติดต่อสื่อสารให้ติดขัด ชะงัก หรือไม่มีประสิทธิภาพ (Communication Breakdown) แบ่งออกเป็น 3 ด้าน
            1.    ด้านเทคนิคหรือกลไก (Technical or Mechanical) เกิดจากช่องทางการสื่อสารที่นำเสนอตัวอย่างเช่น โทรทัศน์ภาพล้ม, การพูดคุยในที่เสียงดัง
            2.    ด้านภาษา (Semantic) เช่น การใช้ภาษาที่แตกต่างกัน, ภาษาเดียวกันแต่ใช้ศัพท์ที่ยาก, ความแตกต่างด้านความรู้ ประสบการณ์ การศึกษา, IQ
            3.   ด้านอื่นๆ เช่น ใช้ช่องทางในการสื่อสารไม่เหมาะสม
            ในการส่งเสริมการเกษตรนั้น การติดต่อสื่อสารมีความสำคัญมาก เนื่องจากนักส่งเสริมเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง (Change Agent) หากสื่อสารต่อกลุ่มเป้าหมายไม่มีประสิทธิภาพจะมีผลทำให้เกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงน้อย
            อุปสรรคในการติดต่อสื่อสารหรือสิ่งกีดขวางในการติดต่อสื่อสารที่สำคัญ ได้แก่
            1.    ความแตกต่างระหว่างบุคคล
            2.    ลักษณะการถ่ายทอดของผู้นำการเปลี่ยนแปลง
            3.    บรรยากาศในการติดต่อสื่อสาร
            4.    วัสดุอุปกรณ์ในการติดต่อสื่อสาร
มีการศึกษาถึงอุปสรรคการสื่อสารที่พบในการส่งเสริมการเกษตร พบว่า อุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่
            1.    ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความรู้ความเข้าใจไม่เพียงพอ มีทัศนคติที่ไม่ดี
            2.    ผู้ส่งสารนำเสนอข่าวสารไม่ดี ทำให้ผู้รับสารไม่สนใจ
            3.    ตัวของสารไม่มีความชัดเจน
            4.    มีการจัดลำดับของสารไม่ดี มีความสลับซับซ้อน
            5.    ผู้ส่งสารและผู้รับสารใช้สื่อ/ช่องทางที่ไม่เหมาะสม
            แนวทางแก้ไข
            1.    ผู้สื่อสาร (ผู้ส่งสารและผู้รับสารต้องเข้าใจองค์ประกอบในการสื่อสาร เลือกใช้สื่อ/ช่องทางที่เหมาะสม มีวัตถุประสงค์ที่ใช้ชัดเจน
            2.    ผู้ส่งสาร/ผู้รับสารควรมีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าและมีการใช้ทักษะในภาษาที่ถ่ายทอด
ให้เหมาะสมกับการสื่อสาร
            3.    ควรคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบสนองเพื่อนำมาประเมินแก้ไขข้อบกพร่อง

องค์ประกอบของการสื่อสาร

ก่อนที่จะกล่าวถึงองค์ประกอบของการสื่อสารขอย้อนกลับไปที่ คำว่าการสื่อสารที่แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผู้เกี่ยวข้องอยู่ 2 ฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร และอีกฝ่ายทำหน้าที่เป็นผู้รับสาร โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเกี่ยวพันกัน นอกจากนั้นแล้วยังจะต้องมีพาหนะในการนำสารจากผู้ส่งสารไปถึงผู้รับสารด้วย พาหนะที่ว่านี้เราสามารถเรียกง่าย ๆ ว่า สื่อ นั่นเอง

            การทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารนี้ หากเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีผู้เข้าร่วมทำการสื่อสารกันเพียง 2 คน แล้วล่ะก้อทั้ง 2 ฝ่ายจะทำหน้าที่สลับสับเปลี่ยนกันได้ เช่น ก. พูดคุยอยู่กับ ข. เรื่องการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ในวันที่ 2 มิถุนายน 2539 จากกรณีนี้ทั้ง ก. และ ข. ต่างก็ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารในเวลาที่ใกล้เคียงกัน คือ เมื่อ ก. พูด ข. ฟังก. ก็เป็นผู้ส่งสาร ข. ก็เป็นผู้รับสาร แต่เมื่อ ข. พูดโต้ตอบกลับไป ก. ก็จะเป็นฝ่ายฟังหรือผู้รับสาร แล้ว ข. ก็จะเป็นผู้พูดหรือผู้ส่งสาร ส่วนเรื่องที่ ก. และ ข. พูดคุยกันนั้น ก็คือตัวสาร (Message) และตัวพาหนะที่นำสารไปสู่ทั้ง 2 ฝ่าย ก็คือสื่อ หรือ Channel ซึ่งในที่นี้ถ้าหากเป็นการคุยกันแบบเผชิญหน้าหรือ face to face สื่อที่นำเสียงของผู้ส่งสารไปสู่โสตสัมผัสทางหูของผู้รับสาร ก็คือ อากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวของผู้ที่ทำการสื่อสารกันนั่นเอง อากาศในที่นี้เราถือได้ว่าเป็นสื่อธรรมชาติ แต่ถ้าหากการพูดคุยระหว่าง ก. กับ ข. ไม่ได้เป็นแบบเผชิญหน้า แต่เป็นแบบ Person to Person ตัวต่อตัว โดยเป็นการสนทนากันทางโทรศัพท์ เราก็ยังถือว่าเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลเหมือนกัน แต่พาหนะที่นำสารไปสู่ผู้ที่ทำการสื่อสารกันนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากอากาศเป็นโทรศัพท์นั่นเอง และตัวเครื่องโทรศัพท์นี่เองที่เป็นสื่อหรือช่องทางการสื่อสารที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ไม่ได้เป็นสื่อธรรมชาติอย่างเช่นอากาศ

องค์ประกอบของการสื่อสาร

สำหรับองค์ประกอบของการสื่อสารโดยทั่วไปมี 4 ประการ คือ

1. ผู้ส่งสาร (Sender)


2. สาร (Message)

3. ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อ (Channel)

4. ผู้รับสาร (Receiver)

ผู้ส่งสาร  คือ  ผู้เริ่มต้นการสื่อสาร (เริ่มต้นสร้างและส่งสารไปยังผู้อื่น) ในการสื่อสารครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ผู้ส่งสารจะทำหน้าที่เข้ารหัส (Encoding) อันเป็นการแปรสารให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษา (ภาษาพูด,ภาษาเขียนหรือวัจนภาษา) และอากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ (อวัจนภาษา) สารที่ถูกเข้ารหัสแล้วนี้จะถูกผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารโดยผ่านทางติดต่อทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้าผู้ส่งสารต้องการส่งสาร ก. ไปถึงผู้รับสารที่อยู่ห่างไกลจากตนอย่างรวดเร็ว ผู้ส่งสารก็อาจเลือกใช้ วิธีโทรเลข โทรศัพท์ จดหมาย ถ้าเป็นปัจจุบันก็อาจใช้โทรสาร ( Facsimile (FAX) ) หรือ E-mail (การสื่อสารผ่านทางจอคอมพิวเตอร์) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ในสถานการณ์การสื่อสารหนึ่ง ๆ นั้นผู้ส่งสารจะเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญในการที่จะเป็นผู้เริ่มต้นสื่อสาร ถือเป็นบุคคลแรกที่จะทำให้กระบวนการในการสื่อสารเกิดขึ้น

           แต่เนื่องจากการสื่อสารของมนุษย์มีหลายประเภทและหลายระดับ เพราะฉะนั้นจำนวนของผู้ส่งสารจึงอาจจะแตกต่างกันไป เช่น การสื่อสารสาธารณะรูปแบบหนึ่ง คือ การอภิปราย ผู้ส่งสาร อาจมีจำนวนมากกว่า 1 คน และผู้ส่งสารอาจมิได้ส่งสารในฐานะที่เป็นตัวของตัวเอง แต่อาจจะส่งสารในฐานะที่เป็นตัวแทนของหน่วยงาน หรือ สถาบันใดสถาบันหนึ่ง ส่วนในกระบวนการสื่อสารมวลชนผู้ส่งสารก็คือตัวแทนขององค์กรเกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน ซึ่งนอกจากจะส่งสารในฐานะที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ก็ยังต้องมีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นตัวแทนของสถาบันการสื่อสารมวลชนนั้น ๆ ด้วย


แต่การเป็นผู้ส่งสารไม่ว่าจะในการสื่อสารประเภทและระดับใดก็ตาม ย่อมต้องมีบทบาทและหน้าที่ในการสื่อสารที่สำคัญ คือ


1. การมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารที่แจ่มชัด


2. การเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอในเนื้อหาของเรื่องราวที่ตนจะสื่อสารกับผู้อื่น


3.การเป็นผู้มีความพยายามที่จะเข้าใจความสามารถและความพร้อมในการรับสารของผู้ที่ตนสื่อสารด้วย


4. การเป็นผู้รู้จักเลือกใช้วิธีการในการสื่อสารให้เหมาะสมกับเรื่อง โอกาสและผู้รับสารของตน


สาร (Message) คือ เรื่องราวอันมีความหมายและแสดงออกมาโดยอาศัยภาษา หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ก็ตามที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ สาร จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารเกิดความคิดขึ้น และต้องการจะส่งหรือถ่ายทอดความคิดนั้นไปสู่การรับรู้ของผู้อื่น (ผู้รับสาร) การส่งสารนั้น ก็โดยการที่ผู้ส่งสารแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างเพื่อแทนความคิดที่เกิดขึ้น พฤติกรรมที่ว่านี้ก็เช่น การพูด การเขียน การวาดการแสดงอาการหรือกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และพฤติกรรมในการแสดงออกซึ่งความคิดนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับทักษะของผู้กระทำทั้งสิ้น 

ความสำคัญของสารที่ถูกส่งมาจากผู้ส่งสาร ก็คือ การทำหน้าที่เร้าให้ผู้รับสารเกิดการรับรู้ความหมายและมีปฏิกิริยาตอบสนอง การที่ผู้รับสารจะรับสารที่ถูกส่งมาในรูปของสัญลักษณ์ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า ผู้รับสารมีทักษะในการรับสารมากหรือน้อย ซึ่งทักษะในการรับสารได้แก่ ความสามารถในการคิด พิจารณา ความเข้าใจทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน หากผู้รับสารแสดงพฤติกรรมการรับสาร ตรงกับพฤติกรรมของผู้ส่งสาร เช่น ฟังอ่าน ดู สังเกต แสดงว่าผู้รับสารมีทักษะในการรับสาร

สาร นั้น โดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ประการ คือ

1. รหัสของสาร (message codes)

2. เนื้อหาของสาร (message content)


3. การจัดสาร (message treatment)

1) รหัสของสาร คือ ภาษา (Language) หรือสัญลักษณ์ (symbolic) หรือสัญญาณ (signal) ที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อใช้แสดงออกแทนความคิดเกี่ยวกับบุคคลและสรรพสิ่งต่าง ๆ

เราสามารถแบ่งรหัสของสารออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. รหัสของสาร ที่ใช้คำพูด (verbal message codes)

2. รหัสของสารที่ไม่ใช้คำพูด (nonverbal message codes)

รหัสของสารที่ใช้คำพูด ได้แก่ ภาษาอันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ ได้พัฒนาขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ภาษาทุกภาษาของมนุษย์มีการสร้างขึ้นและถูกพัฒนาสืบทอดมาโดยลำดับเป็นระบบสัญลักษณ์ที่ทำให้สารปรากฎขึ้นได้

ส่วนรหัสของสารที่ไม่ใช้คำพูด ได้แก่ ระบบสัญลักษณ์ สัญญาณ หรือเครื่องหมายใด ๆ ก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ถ้อยคำ เช่น อากัปกิริยา ธง ไฟ เป็นต้น 

ซึ่งมนุษย์ในแต่ละสังคมแต่ละวัฒนธรรมพัฒนาขึ้น และรับรู้ความหมายร่วมกัน เช่น การพยักหน้า แสดงอาการตอบรับหรือแสดงความเข้าใจหรือเห็นด้วย แม้แต่ธงหรือไฟสัญญาณต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เป็นรหัสของสารที่ไม่ใช้คำพูดทำหน้าที่เป็นการบอกเรื่องราวที่มนุษย์ตกลงรับรู้ความหมายร่วมกัน

2) เนื้อหาของสาร ที่มนุษย์สื่อสารกันนั้นครอบคลุมถึงความรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ ที่มนุษย์ต้องการที่จะถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกัน ดังนั้น เมื่อพูดถึงเนื้อหาของสารแล้วจะมีขอบเขตกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเราอาจแบ่งเนื้อหาของสารได้เป็น 3 ประเภท คือ

          1. สารประเภทข้อเท็จจริง ได้แก่ สารที่รายงานให้ทราบถึงความจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกทางกายภาพ และอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะตรวจสอบได้ถึงความแน่นอนถูกต้องของสารนั้น ถ้าพิสูจน์ตรวจสอบแล้วสารนั้นเป็นจริง สารนั้นก็จัดได้ว่าเป็นสารที่มีคุณภาพควรแก่การเชื่อถือ

          2. สารประเภทข้อคิดเห็น ได้แก่ สารซึ่งเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจจากการประเมินของผู้ส่งสาร อาจเป็นความรู้สึก แนวคิด ความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเองต่อบุคคลอื่น ต่อวัตถุ หรือต่อเหตุการณ์ใด ก็ตาม สารประเภทนี้เป็นสารที่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะถูกตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ อาจทำได้เพียงแค่การประเมินความน่ารับฟัง ความสมเหตุสมผล ตลอดจนความเป็นไปได้ของสารนั้นเท่านั้น เพราะต่างคนต่างก็มีความคิด มีความรู้สึก อารมณ์ ต่อวัตถุ เรื่องราว หรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป สารประเภทนี้มักพบเห็นตามสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้สื่อข่าว หรือผู้ทำข่าว ที่แค่เพียงเอาไมโครโฟนไปจ่อปากผู้ให้สัมภาษณ์แล้วถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ เกี่ยวกับคำพูด หรือความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน เป็นต้น ซึ่งสารประเภทนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนผู้รับสารเกิดความสับสนได้ง่าย ว่าเหตุการณ์จริง ๆ หรือเรื่องราวจริง ๆ เป็นอย่างไรกันแน่เพราะบางทีเราอ่านข่าว ฟังข่าว ดูข่าว เราก็อยากรู้เรื่องไปเลย ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เราไม่อยากไปเสียเวลาคิด พิจารณา ใคร่ครวญหรือวิเคราะห์หาหลักฐานหรือเหตุผลอื่น ๆ มาสนับสนุนว่าที่เราอ่านมา ฟังมา หรือดูมานั้น จริงหรือไม่จริงอย่างไร ปัจจุบันเราจะเห็นว่าข่าวที่มีเนื้อหาประเภทความคิดเห็นมาก ตามหน้าสื่อมวลชนทั้งหลาย (อาจเพราะว่าทำง่าย ไม่ต้องศึกษาหรือทำการบ้านมากนัก)

            อย่างไรก็ตาม แม้สื่อมวลชนทั้งหลายจะพยายามเสนอสารประเภทข้อเท็จจริง หรือ Fact (พูดอะไรมา ก็เสนอหรือลงตามที่เค้าพูด เรื่องที่พูดจริงหรือไม่เราไม่รู้) หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่บางทีรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ละครั้งก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือได้ มิหนำซ้ำยังอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนได้เหมือนกันว่าความจริงคืออะไรกันแน่ เช่น กรณีการฆาตรกรรมผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) - ผอ.แสงชัย สุนทรวัฒน์ ที่สื่อมวลชนประโคมข่าวหรือลงข่าวกันแทบทุกวันในระยะหนึ่งนั้น สื่อมวลชนก็พยายามรายงานความคืบหน้าของข่าวดังกล่าวว่า จับมือปืนยิง ผอ.แสงชัย ได้แล้ว ซึ่งความจริงอาจเป็นแค่การจับได้เพียงผู้ต้องสงสัยแต่ยังไม่ใช่ตัวมือปืน ก็เป็นได้ แต่พอตำรวจจับมาสอบสวน สื่อมวลชนก็นำมาลงหรือนำมาเสนอต่อประชาชนผู้อ่าน ผู้ฟังว่าจับมือปืนได้แล้ว พอเรารับฟังข่าวหรืออ่านข่าว เราก็ต้องตรวจสอบ จากสื่อมวลชนฉบับอื่น ๆ หรือสถานีอื่น ๆ ว่า จับได้จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการที่สื่อมวลชนจะเสนอข่าวสารให้สมบูรณ์จริง ๆ จึงน่าจะเสนอเนื้อหาของข่าวสารในลักษณะที่เป็น truth (สิ่งที่เป็นจริงหรือความจริงแท้แน่นอน) ด้วย เพราะ truth (เบื้องลึกข้อเท็จจริงที่แท้จริง แก่นจริง ๆ ของเรื่อง) นี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นข้อมูลหรือรายละเอียดที่ได้ผ่านการตรวจสอบ หรือการตัดสินกันแล้วอย่างแน่ชัดว่าความจริง คืออะไร (ผู้ลงมือฆ่าเป็นใครกันแน่) โดยมากที่พบเห็นมักจะเป็นประเภทข่าวสืบสวนสอบสวนที่มีการหาข้อมูล หรือหลักฐานมาอ้างอิงถึงความถูกต้องแล้วนั่นเอง ดังนั้น หากเป็นเพียงข้อสงสัย เป็นเพียงการกล่าวหา การนำข้อมูลเหล่านั้นมาเสนอสู่ประชาชน จะต้องระมัดระวังเรื่องการพาดหัวข่าวด้วย เพราะประชาชนอาจเข้าใจผิดพลาดหรือเกิดความสับสนเกิดขึ้นได้

ดังนั้นการเสนอข่าวสารต่าง ๆ ของสื่อมวลชนควรเสนอ Truth ให้มากที่ผ่านมามักเสนอเพียง Fact ข่าวสารปัจจุบันนี้มีแต่ความคิดเห็น ทำให้คนดู คนฟังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร ประชาชนอยากทราบว่าความจริงคืออะไร สื่อมวลชนจึงควรแสวงหาความจริงมาเสนอด้วย มิใช่เสนอเพียงข้อคิดเห็นของตน ควรจะให้ภูมิหลังของเรื่องนั้นเพื่อให้ผู้รับได้ทราบว่า จริง ๆ แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร ไม่ใช่ให้ประชาชนฟังคนนั้นพูดที คนนี้พูดที แต่ไม่ได้เสนอมุมมองที่เป็นข้อเท็จจริงแก่ประชาชนเลย ยิ่งโดยเฉพาะการเสนอข่าวสารในยุคปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ทำให้คนรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น ได้ทราบความเป็นไปในสังคมมากขึ้น สื่อมวลชนก็ยิ่งควรตระหนักถึงเรื่องเนื้อหาของสารให้มากขึ้นด้วย

          3. สารประเภทความรู้สึก ได้แก่พวกโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน นวนิยาย เรื่องสั้นทั้งหลายแหล่ ที่เป็นการเขียนจากจินตนาการ จากการเพ้อฝัน จากอารมณ์ศิลปินยากที่จะตรวจสอบความจริงแท้แน่นอนของข้อมูลหรือตัวสารเหมือนกัน

ปัจจุบันสื่อมวลชนในกระบวนการสื่อสารมวลชนโดยส่วนใหญ่แล้ว จะมีเนื้อหาของสารทั้ง 3 ประเภทนี้ปรากฎอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ เช่น นวนิยาย ที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ละครทางโทรทัศน์ ละครทางวิทยุ แต่ทั้งนี้จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารงานของสื่อแต่ละประเภท และก็ขึ้นอยู่กับจริยธรรม จรรยาบรรณและความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมที่สื่อมวลชนนั้น ๆ ดำเนินการอยู่ด้วย

3) การจัดสาร สารที่ถูกจัดเตรียมมาอย่างดี ทั้งในเรื่องของการเรียบเรียงลำดับ ความยากง่าย รูปแบบการใช้ภาษา จะทำให้สารนั้นมีคุณสมบัติในการสื่อสารได้ ตัวอย่างของการจัดสาร ที่เห็นได้ชัดก็คือ การจัดสารในการโฆษณา ซึ่งผู้ส่งสารได้ให้ความประณีตพิถีพิถันในการจัดสารเพื่อให้สารนั้นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้รับสารสามารถที่จะให้ความเข้าใจและข้อคิดเห็นต่าง ๆ ได้ตามที่ผู้ส่งสารต้องการ

ช่องทางการสื่อสาร หรือ สื่อ ในการสื่อสารใด ๆ ก็ตาม ผู้ส่งสารย่อมต้องอาศัยช่องทางหรือสื่อให้ทำหน้าที่นำสารไปยังผู้รับสาร โดยทั่วไปแล้วสารที่ถูกผู้ส่งสารถ่ายทอดไปยังผู้รับสารจะเข้าไปสู่ระบบการรับรู้ของมนุษย์โดยผ่านประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง หรือหลายทาง ได้แก่ ทางการเห็น โดยประสาทตา ทางการได้ยิน โดยประสาทหูทางการได้กลิ่น โดยประสาทจมูก ทางการสัมผัส โดยประสาทกาย และทางการลิ้มรสโดยประสาทลิ้น

ถ้าพิจารณาในแง่นี้แล้ว การสื่อสารระหว่างบุคคล 2 คนที่อยู่ต่อหน้ากัน สารก็จะผ่านช่องทางเหล่านี้ไปสู่การรับรู้ของผู้กระทำการสื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย แต่ในการสื่อสารสำหรับคนที่อยู่ห่างไกลกัน มนุษย์ไม่สามารถจะอาศัยทางติตต่อที่มนุษย์มีอยู่ได้ มนุษย์จึงได้สร้างสื่อขึ้นมาเป็นเครื่องช่วยให้การติดต่อระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีความเป็นไปได้ มองในแง่นี้เราจะเห็นได้ว่า แม้คำว่า "ช่องทาง" และคำว่า "สื่อ" จะมีความหมายใกล้เคียงกัน และอาจใช้แทนกันได้ แต่แท้ที่จริงแล้วคำทั้ง 2 มีความหมายแตกต่างกัน คำว่า "ช่องทาง" หมายถึงทางซึ่งทำให้ผู้ส่งสารกับผู้รับสารติดต่อกันได้ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่วน "สื่อ" นั้น หมายถึงสื่อที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ อากาศ แสง เสียง ตลอดจนอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มนุษย์คิดขึ้น เพื่อใช้ติดต่อส่งสารไปถึงกันและกัน

            การจัดแบ่งประเภทของสื่อที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารนั้น อาจแบ่งได้หลายแบบไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนตายตัว เช่น อาจแบ่งโดยใช้ลักษณะของสื่อเป็นเกณฑ์ หรืออาจแบ่งโดยใช้จำนวนและลักษณะของการเข้าถึงผู้รับสารเป็นเกณฑ์ก็ได้



                                                                   














นางสาวปพิชญา ทับแสง ม.6/8 เลขที่ 26

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Winnie the Pooh





Hello, my name Papichaya TubsangI'am 17 years old.I like very pink Winnie the Pooh cartoon, and like a lot.Because when I was a kid I would love to buy cartoon Winnie the Pooh came to me as well.I love Winnie the Pooh